“สุพัฒนพงษ์” ยืนยันรัฐบาลมีแผนรองรับวิกฤติพลังงาน
“สุพัฒนพงษ์” ยืนยันรัฐบาลมีแผนรองรับวิกฤติพลังงาน มั่นใจไทยสู้วิกฤติ “รัสเซีย-ยูเครน” ได้แม้จะยืดเยื้อ เผยนักธุรกิจชุดใหญ่จาก ”ซาอุฯ-ญี่ปุ่น-สหรัฐ” เตรียมมาหาโอกาสลงทุนในไทย
วันที่ 31 พ.ค. 2565 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงพลังงาน ชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องพลังงาน ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ว่า ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงาน โดยเฉพาะน้ำมันดิบที่มีการนำเข้าจากต่างประเทศประมาณร้อยละ 90 ซึ่งวิกฤติพลังงานเกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่เกิดเฉพาะในประเทศไทย ดังนั้นสถานการณ์ราคาน้ำมันแพงจึงต้องทราบว่ามาจากเหตุอะไร
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า รัฐบาลมีแนวทางในการแก้ปัญหา โดยมีมาตรการเพิ่มความยืดหยุ่นระยะสั้น อย่างเรื่องของไฟฟ้าที่มีการใช้แก๊สธรรมชาติในการผลิตหลัก เมื่อแก๊สมีราคาสูงขึ้น จึงจำเป็นต้องหาสิ่งอื่นมาทดแทน ดังนั้นโรงไฟฟ้าถ่านหินจึงถือว่ายังมีความจำเป็น รวมถึงจะต้องมีการเพิ่มพลังงานสะอาดเพื่อนำมาทดแทนด้วย ส่วนมาตรการประคับประคองอัตราเงินเฟ้อ ที่เพิ่งผ่านปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจจากโควิด ซึ่งเศรษฐกิจก็กำลังจะฟื้น การท่องเที่ยวก็กำลังจะฟื้น และจากวันที่เริ่มเปิดประเทศจนถึงวันนี้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศแล้ว 1-2 ล้านคน และรัฐบาลยังได้ประคับประคองในเรื่องของราคาน้ำมันและแก๊สแบบค่อยเป็นค่อยไป ด้วยการตรึงราคา
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า รัฐบาลยังต้องรักษาเสถียรภาพความมั่นคงทางด้านพลังงาน ซึ่งวันนี้มีปริมาณสำรองถึง 2 เดือนกว่า และพยายามจะทำให้เพิ่มสูงขึ้นเท่าที่จะทำได้ ขณะเดียวกันยังจำเป็นต้องรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศ คือ เรื่องของราคา ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนมาตรการเสริมสภาพคล่อง ก็ได้มีการลดเงินสมทบให้กับลูกจ้างแรงงานในระบบ และโครงการคนละครึ่งเฟส 4 เพื่อดูแลประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากความเดือดร้อน ทั้งนี้ไทยยังรักษาเสถียรภาพความมั่นคงทางด้านการเงินการคลังได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่ก่อนโควิดจนถึงวันนี้ ดูได้จากอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ยังอยู่ในอันดับเดิม และท้ายที่สุดก็ชี้ให้เห็นว่ามาตรการด้านพลังงานที่รัฐบาลได้ดูแลตั้งแต่ปี 63-65 ได้ใช้งบประมาณไปทั้งสิ้น จำนวน 206,903 ล้านบาท และเชื่อว่าจะสามารถรับมือกับปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่คาดว่าจะยืดเยื้อได้
“รัฐบาลยังมีแผนดึงดูดการลงทุนจากการที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปประเทศซาอุดิอาระเบีย ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ ซึ่งทั้ง 3 ประเทศมีความพร้อมและมีความสนใจที่จะนำคณะนักธุรกิจชุดใหญ่เดินทางมาประเทศไทย เพื่อหาโอกาสในการลงทุน ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้ และไตรมาส 1 ของปีหน้า” นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
Source link
from World eNews Online https://ift.tt/Kg08b2P
via World enews
Labels: news, World eNews Online, worldnews
0 Comments:
Post a Comment
Subscribe to Post Comments [Atom]
<< Home