สหรัฐฯ เดินหน้ากดดันจีน : ไบเดนพร้อมส่งทหารช่วยไต้หวัน!
ในกรณียูเครน สหรัฐฯ ยืนยันจะไม่ส่งทหารไปร่วมรบกับยูเครนเพื่อสู้กับรัสเซีย
แล้วกรณีไต้หวันล่ะ ไบเดนจะส่งทหารไปรบจีนไหม?
ไบเดนตอบว่า “ใช่…เราจะส่งทหารไปปกป้องไต้หวันหากจีนตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คือส่งทหารมายึดไต้หวัน”
ทำให้เกิดคำถามทันทีว่า ไบเดนกำลังปรับนโยบายของสหรัฐฯ อีกครั้งแล้วหรือ…เพราะกฎหมายว่าด้วยความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ กับไต้หวันที่ออกปี 1979 นั้นไม่ได้ระบุชัดถึงขนาดจะส่งทหารไปร่วมรบกับไต้หวัน
หากแต่เขียนไว้อย่างคลุมเครือว่าจะช่วยไต้หวันสร้างเสริมศักยภาพในการป้องกันตัวเองจากการรุกรานเท่านั้น
เป็นวิธีเขียนด้วยภาษาที่เปิดกว้างเอาไว้เพื่อให้ตีความได้หลายๆ ทาง
นักข่าวถามไปที่ทำเนียบขาวว่า การที่ไบเดนพูดอย่างนี้เท่ากับเป็นการเปลี่ยนนโยบายต่อจีนหรือไม่
ทำเนียบขาวยืนยันว่า “ไม่มีการเปลี่ยนแปลง” นโยบายของสหรัฐฯ ต่อจีนแต่ประการใด
แต่ไม่ยอมบอกว่าไบเดนพูดอย่างนั้นมีความหมายที่ผิดแผกไปจากที่กฎหมายระบุหรือไม่
ไม่ต้องแปลกใจที่ปักกิ่งจะออกมาฟาดฟันสหรัฐฯ ทันทีอีกครั้ง
เพราะสัปดาห์ที่ผ่านมาวอชิงตันก็ยังเดินหน้าสกัดกั้นจีนด้วยมาตรการต่างๆ ที่สร้างความร้าวฉานเพิ่มเติมระหว่าง 2 ประเทศยักษ์ใหญ่
เพราะข่าวหลายสายยืนยันว่า สหรัฐฯ กำลังพิจารณามาตรการคว่ำบาตรจีนเพิ่มอีก…ด้วยหวังจะขัดขวางไม่ให้ปักกิ่งวางแผนรุกรานไต้หวัน
อีกด้านหนึ่ง สหภาพยุโรปได้รับแรงกดดันด้านการทูตจากไต้หวันให้ช่วยหยุดยั้งการกระทำจีนที่มีผลทางลบต่อไต้หวันเช่นกัน
ข้อมูลล่าสุดบอกว่า มีการเคลื่อนไหวจากฝั่งรัฐบาลวอชิงตันและรัฐบาลไทเปที่ต่างแยกกันวิ่งเต้นกับทางทูตอียู
เพื่อผลักดันให้อียูใช้มาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจต่อจีนให้มากกว่าเดิม ท่ามกลางความกังวลเรื่องการรุกรานไต้หวันของจีน
หลังจากการยกระดับซ้อมรบบริเวณช่องแคบไต้หวันของรัฐบาลปักกิ่ง
ส่วนรายละเอียดของมาตรการที่ว่านี้มีอะไรบ้างยังไม่ได้รับการเปิดเผย
ว่ากันว่าการหารือเรื่องมาตรการคว่ำบาตรจีนเพิ่มเติมนั้นได้เริ่มต้นตั้งแต่รัสเซียส่งทหารบุกยูเครนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาด้วยซ้ำ
แต่ต่อมากลายเป็นประเด็นเร่งด่วนหลังจากเยือนไต้หวันของประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ส.ส.แนนซี เพโลซี เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
ก่อนนี้สหรัฐอเมริกาก็ประกาศใช้มาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจต่อรัสเซียเช่นกันเมื่อเดือนมกราคม
โดยได้รับการสนับสนุนจากประเทศสมาชิกนาโตเพื่อหวังจะสกัดไม่ให้รัสเซียบุกยูเครน
แต่ความพยายามใดๆ ที่จะทำให้ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซียเปลี่ยนใจในเรื่องนี้มีอันต้องล้มเหลวไป
มีความเป็นไปได้ว่าการบังคับใช้มาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจต่อจีนอาจจะต้องซับซ้อนมากกว่ามาตรการลงโทษต่อรัสเซีย
เหตุผลหลักก็เพราะสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรมีความเกี่ยวพันทางเศรษฐกิจกับจีนอย่างมาก…มากกว่าที่มีปฏิสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนกับรัสเซียหลายเท่า
อีกทางหนึ่ง ด้านนิติบัญญัติของสหรัฐฯ ก็เดินหน้ากดดันจีนด้วยการเสนอกฎหมายฉบับใหม่เพื่อสนับสนุนไต้หวันเช่นกัน
คณะกรรมาธิการการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภาสหรัฐฯ มีมติผ่านร่างกฎหมายนโยบายไต้หวัน (Taiwan Policy Act) ด้วยคะแนน 17 ต่อ 5
จากนี้ขั้นต่อต่อไปก็คือ การเสนอให้มีการพิจารณาในที่ประชุมใหญ่ของวุฒิสภาสหรัฐฯ
นักวิเคราะห์มองว่าร่างกฎหมายฉบับนี้มีการแก้ไขนโยบายของอเมริกาต่อไต้หวันอย่างครอบคลุมมากที่สุดตั้งแต่ปี 1979 เป็นต้นมา
ปี 1979 คือปีที่สภาคองเกรสสหรัฐฯ ออกกฎหมาย Taiwan Relations Act หรือกฎหมายว่าด้วยความสัมพันธ์กับไต้หวัน ซึ่งเปิดทางให้สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนไต้หวันในการเสริมสร้างแสนยานุภาพทางทหารเพื่อป้องกันตัวเองจากการรุกรานของจีนแผ่นดินใหญ่
ประธานคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภา Bob Menendez บอกว่าร่างกฎหมายฉบับนี้จะทำให้อเมริกาสามารถให้ความช่วยเหลือด้านความมั่นคงแก่ไต้หวันเพิ่มเติมและต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ไต้หวันสามารถสกัดการรุกรานจากจีน
โดยสหรัฐฯ ไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายเกี่ยวกับไต้หวันแต่อย่างใด
ร่างกฎหมายนโยบายไต้หวันที่ว่านี้มีเนื้อหาถึง 107 หน้า
เป็นการผนวกและรวบรวมประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับไต้หวันในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ประเด็นที่น่าสนใจที่นักวิเคราะห์จับตาเป็นพิเศษก็คือ การเสนอให้เปลี่ยนชื่อสำนักงานตัวแทนไต้หวันในสหรัฐฯ เพื่อฟังดูให้ขึงขังและเข้มข้นมากขึ้น
และยังวางแผนเสนอความช่วยเหลือด้านการทหารแก่ไต้หวันเป็นมูลค่า 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 166,000 ล้านบาท ในระยะเวลา 4 ปี
รวมถึงยกสถานะไต้หวันให้เป็น “พันธมิตรนอกนาโต” (Major non- NATO ally)
ซึ่งเท่ากับเป็นการสุมไฟอีกครั้งหนึ่งให้ความตึงเครียดที่ช่องแคบไต้หวันถูกยกระดับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอย่างน่ากังวล
ปักกิ่งย่อมจะต้องมองว่าฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติของสหรัฐฯ จงใจที่จะเดินหน้าในหลายๆ ด้านพร้อมๆ กันเพื่อกดดันจีนกรณีไต้หวัน
จะอ้างไม่ได้ว่าฝ่ายบริหารกับนิติบัญญัติของสหรัฐฯ เป็นอิสระต่อกัน และไม่มีการสมรู้ร่วมคิดเพื่อจะบ่อนทำลายจีน
เพราะกรรมย่อมส่อเจตนา
และหากวอชิงตันเล่นเกมอย่างนี้ จีนก็คงจะต้องหาทางตอบโต้อย่างเป็นรูปธรรมอย่างแน่นอน
โลกเครียดขึ้นอีกหลายดีกรีเลยครับ.
Source link
from World eNews Online https://ift.tt/ubmMQtp
via World enews
Labels: news, World eNews Online, worldnews
0 Comments:
Post a Comment
Subscribe to Post Comments [Atom]
<< Home