จุดจบ”พ่อมดการเงิน” ราเกซ สักเสนา ปิดตำนานมหากาพย์โกงแบงก์บีบีซี **อุปถัมภ์ ส.ต.ท.หญิงฉาว!! ตั้ง ส.ว.สอบจริยธรรมส.ว. ส่อเค้ามวยล้มต้มคนดู?
ข่าวปนคน คนปนข่าว
**จุดจบ”พ่อมดการเงิน” ราเกซ สักเสนา ปิดตำนานมหากาพย์โกงแบงก์บีบีซี
ย้อนหลังกลับไป 30 กว่าปีก่อน แวดวงธุรกิจการเงินการธนาคารไม่มีใครไม่รู้จัก “ราเกซ สักเสนา” ชายสัญชาติอินเดีย เจ้าของฉายา “พ่อมดการเงิน” อันโด่งดัง
เมื่อวานนี้ “ราเกซ”ในวัย70ปี ถูกศาลฎีกาตัดสินพิพากษาโดยเห็นว่า… พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมารับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ขณะที่ฎีกาของ “ราเกซ” ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลล่างทั้งสอง ศาลชั้นต้น และอุทธรณ์ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย จึงพิพากษายืน
คดีนี้ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ฟ้องนายราเกซ เป็นจำเลยฐานกระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ โดยอัยการฟ้องว่า เมื่อระหว่างปี 2537-2539 จำเลยซึ่งเป็นที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือ บีบีซี กับพวกให้ความสะดวกแก่ “เกริกเกียรติ ชาลีจันทร์” ซึ่งเสียชีวิตแล้ว อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บีบีซี ได้ทุจริตใช้บัตรการอนุมัติให้สินเชื่อเกินบัญชีเกินกว่า 30 ล้านบาทกับเอกชน ได้แก่ บริษัทสมประสงค์ อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด และเอกชนรายอื่นร่วม 10 แห่ง โดยการอนุมัติดังกล่าวไม่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการสินเชื่อ หรือ คณะกรรมการบริหารของธนาคารบีบีซี ก่อน และได้อนุมัติสินเชื่อโดยผู้ขอสินเชื่อ ไม่มีหลักประกัน ตลอดจนไม่มีการวิเคราะห์ฐานะของลูกหนี้ และความสามารถในการชำระหนี้คืน อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และพฤติการณ์อื่นๆ
ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ พิพากษาว่า จำเลยผิดตามฟ้อง จำคุกกระทงละ 5 ปี และปรับกระทงละ 500,000 บาท รวม 67 กระทง จำคุกรวม 335 ปี และปรับ 33,500,000 บาท แต่ตามกฎหมายลงโทษจริง 20 ปี ถ้าไม่ชำระค่าปรับให้กักขัง 2 ปี ให้ชดใช้เงินอีก ในสำนวนคดีแรกจำนวน 722 ล้านบาท ในสำนวนที่สองอีก 1,427 ล้านบาท และในสำนวนที่สามจำนวน 353 ล้านบาทแก่ บีบีซี
ตามประวัติของ “ราเกซ” เขาเกิดที่เมืองอินดอร์ รัฐมัธยประเทศ จบการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวรรณกรรม มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ แต่ส่วนตัวเขากลับสนใจงานด้านการเงินมากกว่า จึงทำให้เขาเริ่มต้นเข้าสู่วงการ ด้วยการเป็นโบรกเกอร์ค้าเงิน
“ราเกซ” เดินทางเข้ามาในประเทศไทยหลังปี พ.ศ. 2520 โดยเข้ามาทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการเงินและการลงทุน และที่ปรึกษาของหลายบริษัท
จากนั้นได้เข้ามาเป็นที่ปรึกษาของ “ตั้ว” เกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ ในฐานะทายาทผู้สืบต่อธุรกิจธนาคารของ “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช” ตั้งแต่ พ.ศ. 2535 และ ถูกดำเนินคดีข้อหายักยอกทรัพย์ เมื่อพ.ศ. 2539 หลังการล้มละลายของธนาคารกรุงเทพฯพาณิชยการ ในปี พ.ศ. 2538 ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤติสถาบันการเงินในยุคนั้นก่อนที่ลุกลามไปสู่ “วิกฤติต้มยำกุ้ง” ในปี 2540
ว่ากันว่า การล่มสลายของแบงก์บีบีซี คือ การปล่อยสินเชื่อให้แก่นักธุรกิจและนักการเมืองเพื่อเข้าเทกโอเวอร์บริษัทต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีกำไรจากการซื้อมา-ขายไป จนเกิดหนี้เน่ามากกว่า 80,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากฝีมือของพ่อมดการเงินรายนี้
“ราเกซ” ถูกออกหมายจับในปีต่อมา ก่อนจะหลบหนีไปอยู่ที่แคนาดา แต่ก็ถูกจับกุมโดยตำรวจแคนาดา เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2539
จากนั้นทางการไทยได้ประสานงานกับแคนาดา เพื่อนำตัว “ราเกซ”กลับมาดำเนินคดีในไทย แต่ราเกซได้ให้ทนายความยื่นคัดค้าน โดยอ้างว่าถ้าถูกส่งกลับไทยอาจถูกสังหาร หรือถูกขังในคุกอย่างโหดร้ายทารุณ
หลังต่อสู้คดีกันยืดเยื้อมานาน กระทั่งปี 2551 ศาลฎีกาแคนาดายกคำร้องคัดค้านของ “ราเกซ” เป็นผลให้ทางการแคนาดา ต้องส่งตัวเขาให้ทางการไทยตามกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนในที่สุด
ต่อมาในปี 2555 ศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำพิพากษาให้จำคุก “ราเกซ” กระทั่งผ่านมาอีก 10 ปี ถึง พ.ศ.2565 คดีจึงถึงที่สุดตามที่ศาลฎีกาพิพากษาตัดสิน
นี่เท่ากับว่า “ราเกซ” ที่ติดคุกมานานนับสิบปีแล้ว ศาลได้ออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดตามผลคำพิพากษาของศาลฎีกา ถือเป็นจุดจบของ “พ่อมดการเงิน” ราเกซ สักเสนา ปิดตำนานมหากาพย์คดีโกงแบงก์ที่อื้อฉาวที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเงินไทย ไปเป็นที่เรียบร้อย
**อุปถัมภ์ ส.ต.ท.หญิงฉาว!! ตั้ง ส.ว.สอบจริยธรรมส.ว. ส่อเค้ามวยล้มต้มคนดู?
กรณี “เจ๊นุช” หรือ ส.ต.ท.หญิง กรศศิร์ บัวแย้ม ที่จบการศึกษาระดับปวส. ด้านบัญชี จากโรงเรียนพณิชยการแห่งหนึ่งใน จ.ราชบุรี แล้วได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการตำรวจ ขณะที่มีอายุ 39 เกือบจะ 40 ปี นอกจากจะได้เป็นตำรวจแล้ว เธอยังทำหน้าที่ประสานงานให้กับสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ประจำคณะกรรมาธิการ โดยเป็นเลขานุการ 1 คณะ เป็นนักวิชาการ 1 คณะ เป็นที่ปรึกษา 1 คณะ และยังมีชื่อไปช่วยราชการ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้าที่ภาคใต้ ในลักษณะที่เรียกกันว่า “บัญชีผี” อีกด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น ส.ต.ท.หญิง กรศศิร์ ยังใช้ “เส้นสาย” ฝากคนรู้จักเข้ารับราชการเป็น ส.ต.หญิง (ทหาร) แล้วขอตัวให้มาเป็นทหารรับใช้ตนเอง และมีการทำร้ายร่างกายกัน จน “ส.ต.หญิง” ไปแจ้งความดำเนินคดี จึงแดงโร่ขึ้นมา
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้สะท้อนถึงระบบ “อภิสิทธิชน” ของกลุ่มข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และสมาชิกวุฒิสภา ที่กำลังถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์กันอื้ออึง พร้อมตั้งคำถามว่าเป็นเพราะระบบอำนาจนิยม ที่หยั่งรากมาต่อเนื่องยาวนานหรือเปล่า จึงมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น และเชื่อว่านี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่บังเอิญเป็นเรื่องเป็นราวปูดขึ้นมา
“วัชระ เพชรทอง” อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นเรื่องต่อประธานวุฒิสภา ให้ตรวจสอบจริยธรรมส.ว. กรณีใช้ตำแหน่งหน้าที่ฝาก ส.ต.ท.หญิง กรศศิร์ บัวแย้ม เข้ารับราชการตำรวจ และการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการ ของวุฒิสภา พร้อมมอบหลักฐานการไปทำบุญร่วมกันที่วัดแห่งหนึ่ง เป็นเงินจำนวน 120,000 บาท ซึ่งมีชื่อของ “ธานี อ่อนละเอียด” ส.ว. และ “ส.ต.ท.หญิงกรศศิร์” ปรากฏหราบนป้ายผู้บริจาค จึงขอให้ประธานวุฒิสภา ตรวจสอบว่าเป็น ส.ว.ที่ถูกระบุว่ามีสายสัมพันธ์พิเศษกับสิบตำรวจโทหญิง หรือไม่
ที่ผ่านมา ชื่อของ “ธานี อ่อนละเอียด” เคยปรากฏเป็นข่าว ในฐานะอดีต กรรมาธิการในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กฎหมายการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ได้ร้องขอความเป็นธรรมให้ วรยุทธ อยู่วิทยา หรือ “บอส กระทิงแดง” ในคดีขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผู้บังคับหมู่งานปราบปราม สน.ทองหล่อ เสียชีวิตมาแล้ว
เมื่อมาปรากฏชื่อพัวพันเช่นนี้อีก จึงถูกมองว่า ส.ว.ผู้นี้ มีสายสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา!!
“พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร” รองประธานวุฒิสภา และประธานคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภา ได้รับมอบหมายจากประธานวุฒิสภา ให้เป็นประธานสอบในเรื่องนี้ ตีกรอบเวลาให้ 60 วัน ท่ามกลางเสียงวิพากวิจารณ์ว่า ตั้งส.ว.สอบส.ว.กันเอง จะเข้าทำนองลูบหน้าปะจมูก แล้วสุดท้ายก็เป็นมวยล้มต้มคนดูหรือไม่
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้รับการตั้งให้เป็นประธานสอบ “พล.อ.สิงห์ศึก” ได้ทำหนังสือขอข้อมูล ไปยัง 4 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ 1. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2.กองทัพไทย 3. กอ.รมน. และ 4. กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า รวมทั้งเชิญ “ส.ว.ธานี อ่อนละเอียด” มาให้ข้อมูลด้วย ซึ่งในการประชุมเมื่อวันวาน (12ก.ย.) ปรากฏว่า ไม่มีอะไรคืบหน้า … ทั้ง 4 หน่วยงาน ยังไม่มีใครส่งข้อมูลมาให้ !!
ส่วน “ส.ว.ธานี” นั้น อย่าว่าแต่มาชี้แจงเลย ขนาดติดต่อก็ยังไม่ติดต่อมาเลย ว่าจะมาชี้แจงด้วยตัวเอง หรือจะทำหนังสือชี้แจงมาเป็นลายลักษณ์อักษร
ทั้งนี้ ตามกรอบเวลานั้นกำหนดไว้ 15 วัน สำหรับการชี้แจง ซึ่งทางคณะกรรมการเชื่อว่า “ส.ว.ธานี” น่าจะทำเป็นหนังสือชี้แจงมากกว่าที่จะมาด้วยตัวเอง
เป็นอันว่าการประชุมนัดแรก เปลืองค่าน้ำ ค่าไฟฟรี แต่งานนี้ยังมีเวลาในการพิจารณาตามกรอบ 60 วัน ก็ต้องติดตามดูกันว่าสุดท้ายจะลงเอยอย่างไร… จะมีคนทำผิดประมวลจริยธรรม หรือ จบแบบคนนินทา หมาดูถูก !!
Source link
from World eNews Online https://ift.tt/pTlAxW8
via World enews
Labels: news, World eNews Online, worldnews
0 Comments:
Post a Comment
Subscribe to Post Comments [Atom]
<< Home