คิม จองอึน อาละวาด ขณะสงครามยูเครนยังระอุ!
นี่ถือเป็นการยิงขีปนาวุธพาดผ่านน่านฟ้าญี่ปุ่นครั้งแรกของเกาหลีเหนือ นับแต่ปี 2017
“มีแนวโน้มว่าเกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธแล้ว ขอให้ประชาชนรีบอพยพเข้าอาคารหรือใต้ดินโดยเร็ว”
นี่คือข้อความที่รัฐบาลญี่ปุ่นแจ้งเตือนประชาชนเวลา 07.29 น. เวลาท้องถิ่นหรือ 05.29 น. ตามเวลาในไทย
กระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นบอกว่าขีปนาวุธลูกนี้เป็นประเภทพิสัยกลาง
ยิงไปไกล 4,500 กิโลเมตร ก่อนจะตกลงในมหาสมุทรแปซิฟิก ณ จุดที่ห่างจากญี่ปุ่นราว 3,000 กิโลเมตร
แม้จะไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บจากการยิงขีปนาวุธครั้งนี้ แต่ก็สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนคนญี่ปุ่นอย่างกว้างขวาง
นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ ออกมาประณามอย่างแข็งกร้าวต่อการกระทำนี้ โดยเรียกว่า “พฤติกรรมที่เน้นความรุนแรง”
และได้เรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติทันที เพื่อหาทางตอบสนองการกระทำที่ญี่ปุ่นถือว่าเป็นการ “ยั่วยุ” ครั้งใหม่จากเพื่อนบ้านรายนี้
นักวิเคราะห์เห็นพ้องต้องกันว่าการยิงขีปนาวุธครั้งนี้ คิม จองอึน ต้องการจะยกระดับความตึงเครียด เพื่อให้ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ หันมาให้ความสนใจเกาหลีเหนือ
เพราะคิมมองว่าสหรัฐฯ กับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ไม่ได้ให้ความสนใจเพียงพอต่อตัวเขา
นักสังเกตการณ์บางคนถึงกับบอกว่า การที่ข่าวสงครามยูเครนได้รับความสนใจในระดับโลกอย่างกว้างขวางนั้น อาจจะทำให้คิมรู้สึกว่าโลกกำลังลืมความสำคัญของเกาหลีเหนือ
จึงจำเป็นต้องสร้าง “ดรามา” อย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้โลกลืมว่ายังต้องตอบสนองเสียงเรียกร้องของเปียงยาง
วันเดียวกันนั้น สื่อทางการของเกาหลีเหนือก็ออกมาแสดงการสนับสนุนรัสเซียในการผนวก 4 ภูมิภาคของยูเครน
ทำให้เห็นว่าคิมต้องการจะแสดงตนเป็นแนวร่วมของรัสเซียเพื่อสร้างความตระหนักในประชาคมโลกว่าหากประชาคมโลกสนใจรัสเซียก็ต้องไม่ลืมว่าเกาหลีเหนือก็เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการต่อต้านสหรัฐฯ และโลกตะวันตก
ไม่ต้องสงสัยว่าสหประชาชาติจะต้องเรียกประชุมเพื่อพิจารณาการแสดงแสนยานุภาพทางทหารเช่นนี้ของเกาหลีเหนืออีกครั้ง
เพราะต้องพูดกันถึงประเด็นการละเมิดกฎกติกาสากลกันอีกครั้งหนึ่ง
หลักการสากลคือการกระทำลักษณะฝ่าฝืนบรรทัดฐานสากล นั้นหมายรวมถึงการยิงขีปนาวุธมุ่งตรงต่อประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือพาดผ่านน่านฟ้าของประเทศอื่น โดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า หรือขอคำปรึกษาหารือก่อน
นั่นย่อมถือได้ว่าเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะหากมีการกระทำเช่นนี้ ย่อมจะเป็นการสร้างความเสี่ยงให้เกิดสงคราม
เพราะหากมีประเทศใดยิงขีปนาวุธในลักษณะเช่นนี้ ก็อาจจะทำให้ประเทศอื่นเข้าใจว่าตนกำลังถูกโจมตี
อันอาจจะนำไปสู่การที่ประเทศนั้นๆ จำเป็นต้องใช้มาตรการตอบโต้หรือสกัดกั้นด้วยอาวุธร้ายแรงพอๆ กัน
นั่นย่อมหมายถึงโอกาสที่จะเกิดการสู้รบขึ้นได้ ไม่ว่าการทดลองขีปนาวุธของประเทศใดจะมีจุดมุ่งหมายอย่างใดก็ตาม
การยิงขีปนาวุธครั้งล่าสุดของเกาหลีเหนือเป็นครั้งที่ 5 ในรอบ 7 วัน
วันเสาร์ที่ผ่านมา เปียงยางยิงขีปนาวุธ 2 ลูกลงน่านน้ำใกล้เขตเศรษฐกิจจำเพาะ หรือ Exclusive Economic Zone ของญี่ปุ่น
เมื่อเดือนที่แล้ว เกาหลีเหนือผ่านกฎหมายประกาศสถาปนาตนเองเป็น “รัฐผู้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์”
อีกทั้งยังประกาศอย่างเป็นทางการว่า ผู้นำคิม จองอึน จะไม่มีวันเจรจาเรื่องการปลดอาวุธนิวเคลียร์ของตนแต่ประการใดทั้งสิ้น
สหประชาชาติมีมติคว่ำบาตรเกาหลีเหนืออย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ทดลองนิวเคลียร์ 2006 ถึง 2017 ทั้งหมด 6 ครั้ง
แต่คิมก็ไม่สนใจ เพราะได้รับความช่วยเหลืออย่างไม่เป็นทางการจากทั้งจีนและรัสเซียทางด้านเศรษฐกิจเพื่อประคับประคองให้เปียงยางฟันฝ่าอุปสรรคของตนในเวทีสากล
หลายวงการเชื่อว่าคิมกำลังเตรียมจะทดลองนิวเคลียร์อีกครั้งหนึ่งในเร็วๆ นี้ค่อนข้างแน่นอน
แต่นักวิเคราะห์บางสำนักก็คาดว่าคิมอาจจะรอให้เสร็จสิ้นการประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่จะเริ่มวันที่ 16 ตุลาคมนี้เสียก่อน
เพื่อไม่ต้องการให้มีข่าวการทดลองนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือมากลบข่าวใหญ่ที่สี จิ้นผิง จะได้รับการต่ออายุอีกหนึ่งสมัยในฐานะผู้นำสูงสุดของจีน
แต่อีกบางสำนักก็เชื่อว่าคิมอาจจะไม่ต้องการโยงเรื่องใหญ่ของตนกับความเคลื่อนไหวทางการเมืองของจีนก็ได้
แต่สหรัฐฯ กับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ก็คงจะไม่ยอมปล่อยให้เกาหลีเหนือสามารถเดินหน้าพัฒนานิวเคลียร์อย่างไม่จบสิ้น
ทันทีที่เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธครั้งล่าสุด สหรัฐฯ กับเกาหลีใต้ก็ซ้อมรบ “แบบฉุกเฉิน” ทันที
ทั้งสองประเทศส่งเครื่องบินรบฝ่ายละ 4 ลำเพื่อซ้อมรบ โดยมีการจำลองสถานการณ์ที่จะต้องตอบโต้เกาหลีเหนือหากเกิดศึกสงครามขึ้น
ทั้งหมดนี้คือการยกระดับความตึงเครียดในภูมิภาคนี้อย่างน่ากังวล
เพราะโลกกำลังวุ่นวายกับสงครามยูเครน, วิกฤตเศรษฐกิจอันเกิดจากภาวะเงินเฟ้อรุนแรงและสภาพที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่จากโรคระบาดโควิด
ตอนนี้ก็ต้องมีตื่นตระหนกกับการคาดเดาว่า “พี่คิม” จะออกฤทธิ์ออกเดชให้เกิดความโกลาหลให้กับเวทีระหว่างประเทศอะไรอีก.
Source link
from World eNews Online https://ift.tt/rbVB4zN
via World enews
Labels: news, World eNews Online, worldnews
0 Comments:
Post a Comment
Subscribe to Post Comments [Atom]
<< Home