เมื่อเบอร์หนึ่งสี จิ้นผิงได้คะแนน 100% นายกฯใหม่หลี่ เฉียงก็ต้องได้ 99.99%
สัปดาห์ที่ผ่านมา สายตาทั่วโลกมองไปที่ปักกิ่งจริง ๆ…เพราะความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระดับผู้นำของจีนจะมีผลกระทบต่อการเมือง, เศรษฐกิจและความมั่นคงของโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เริ่มด้วยการรับรองโดยสภาประชาชนแห่งชาติให้สี จิ้นผิงเป็นเบอร์หนึ่งของประเทศสมัยที่ 3
ถือเป็นประวัติศาสตร์การเมืองของจีนเลยทีเดียว เพราะหลังจากประธานเหมา เจ๋อตุงแล้วก็ไม่มีผู้นำจีนคนไหนได้นั่งตำแหน่งสูงสุดของประเทศเกินสองสมัย
สี จิ้นผิงเป็นทั้งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ (คุมพรรค)
เป็นทั้งประธานประเทศ (หรือ “ประธานาธิบดี” ในภาษาเรียกของประเทศอื่น) มีอำนาจคุมรัฐบาลผ่านนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี
และเป็นทั้งประธานคณะกรรมาธิการกลางทหาร (คุมกองทัพ)
เรียกว่ากุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในทุกภาคส่วนของประเทศ
การลงมติในสภาฯเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สี จิ้นผิงได้คะแนนทุกคะแนนจากสมาชิก 2,952 อย่างเป็นเอกฉันท์
ช่อง “คัดค้าน” เป็นศูนย์
และช่อง “งดออกเสียง” ก็เป็นศูนย์เช่นกัน
ไม่มีใครหือใครอือแต่อย่างใด
นี่แหละที่เขาเรียกว่า “ประชาธิปไตยที่มีอัตลักษณ์จีน”
จีนอ้างว่าประชาธิปไตยภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์นั้นให้ประชาชนมีสิทธิ์มีเสียงผ่านกระบวนการคัดเลือกในระดับท้องถิ่นแล้ว
ในคำปฏิญาณตนรับตำแหน่งของสี จิ้นผิงนั้นนอกจากจะยืนยันจะปกปักรักษารัฐธรรมนูญแล้ว ก็ยังจะยอมให้ “ประชาชนตรวจสอบ” ในการทำหน้าที่อีกด้วย
วันต่อมา สภาฯจีนก็รับรองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีใหม่ คือนาย “หลี่ เฉียง”
คนคุ้นเคย มองตาก็รู้ใจของสี จิ้นผิง
หลี่ เฉียงในวัย 63 วันนี้เคยเป็นเบอร์หนึ่งของเซี่ยงไฮ้
และเคยรับหน้าที่เป็นเลขาฯของสี จิ้นผิงที่เจ้อเจียง เรียกว่ารู้ฝีมือกันอยู่แล้ว
ที่น่าสนใจคือการนับคะแนนให้การรับรองหลี่ เฉียงไม่ได้เป็นเอกฉันท์เบ็ดเสร็จเหมือนของสี จิ้นผิง
เขาได้ทั้งหมด 2,936 เสียง โดยมีเสียงคัดค้าน 3 เสียง และงดออกเสียง 8 เสียง
นี่ก็อาจจะเป็นการแสดงออกถึงความเป็น “ประชาธิปไตย” ของรัฐสภาจีนตรงที่ว่าไม่ใช่ว่าผู้นำทุกคนจะได้ความไว้วางใจจาก “ผู้แทนประชาชน” ทั่วประเทศเท่ากัน
เบอร์หนึ่งอย่างสี จิ้นผิงต้องได้ 100%
เบอร์สองอย่างหลี่ เฉียงก็ได้สัก 99.99% จะได้เห็นความแตกต่าง
ทุกความเคลื่อนไหวของจีนล้วนต้องตีความตามสัญลักษณ์ที่ปรากฏให้เห็น
หลี่ เฉียงมีความพิเศษตรงที่ไม่เคยมีประสบการณ์บริหารรัฐบาลกลางมาก่อน
เขาไม่เคยเป็นรองนายกฯ เหมือนนายกฯคนก่อน ๆ ที่ต้องผ่านการทดสอบในหน้าที่งานการในรัฐบาลกลางเสียก่อนจึงจะสามารถก้าวขึ้นไปเป็นเบอร์หนึ่งได้
แต่กรณีหลี่ เฉียงได้รับการยกเว้น
เป็นไปได้ว่าสี จิ้นผิงต้องการจะ “แหกประเพณี” เพราะต้องการเบอร์สองที่เขาสามารถวางใจได้เต็มที่ ไม่ต้องเหลียวหลังแลหน้าด้วยความไม่แน่ใจหากต้องลุยงานหนักที่รออยู่
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจในกรณีหลี่ เฉียงคือการที่เขาเคยถูกวิจารณ์เรื่องโควิดล็อกดาวน์ไวรัสตอนบริหารเซี่ยงไฮ้
จนทำให้เกิดการประท้วงกลางถนน จนลามไปถึงการเรียกร้องทางการเมือง ตามมาด้วยการตัดสินใจของรัฐบาลจีนที่ให้ยกเลิกมาตรการเข้มข้นเกือบจะชั่วข้ามคืน
นั่นไม่เป็นรอยด่างสำหรับหลี่ เฉียงแต่อย่างไร
แต่เขาก็เคยได้รับคำชมที่สามารถดึงเอา Tesla มาสร้างโรงงานรถยนต์ไฟฟ้าที่เซี่ยงไฮ้ เป็นการตอกย้ำถึงความล้ำสมัยของจีนในการต้อนรับการลงทุนยุคใหม่จากต่างประเทศ
รัศมีของหลี่ เฉียงเริ่มจะแผ่แสงแรงกล้าเมื่อเขาได้เข้าร่วมคณะกรรมการประจำโปลิตบูโรอันทรงอิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
ก้าวขึ้นมาในฐานะมือใหม่ในการบริหารราชการส่วนกลางที่ค่อนข้างจะสลับซับซ้อนของจีน
เพราะรัฐบาลกลางของจีนต้องดูแลทั้งหมด 31 มณฑล เทศบาล และเขตปกครองตนเอง
หลี่ เฉียงเริ่มงานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐในมณฑลเจ้อเจียงบ้านเกิดของเขาเองและอยู่ที่นั้นกว่าสิบปี
ก่อนที่จะรับตำแหน่งเป็นเลขานุการของสี จิ้นผิงเป็นเวลาหลายปีตอนที่สีก้าวขึ้นในตำแหน่งระดับสูงในเขตอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกของจีน
ต่อมา หลี่ เฉียงได้เลื่อนตำแหน่งให้เป็นเลขาธิการพรรคของมณฑลเจียงซู
และในปี 2017 เขากระโดดขึ้นไปเป็นเลขาธิการพรรคของเซี่ยงไฮ้
ในฐานะนายกรัฐมนตรี ภารกิจหลักของหลี่ เฉียงคือการกำกับควบคุมและบริหารเศรษฐกิจภายในประเทศที่ทางการตั้งเป้าว่าจะต้องโตประมาณ 5% สำหรับปีนี้…จากที่ร่วงลงไปที่ 3% เมื่อปีที่แล้วโดยมีสาเหตุสำคัญคือการระบาดของโควิดและการชะลอตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
การที่จีดีพีของจีนโตเพียง 3% เมื่อปีที่ผ่านมาถือเป็นอัตราการเติบโตที่ช้าที่สุดในรอบหลายทศวรรษและต่ำกว่าเป้าหมายอย่างเป็นทางการที่ 5.5%
หลี่ เฉียงได้รับปริญญาบริหารธุรกิจบริหารจากมหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคฮ่องกงในปี 2005 หลังจากที่เขาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกษตรเจ้อเจียงในปี 1982
ประวัติการทำงานของหลี่ เฉียงสะท้อนว่าเขาเชื่อในการเป็นนักปฏิรูปด้านธุรกิจและที่ค่อนข้างจะเข้าใจความสำคัญของเอกชนในการหนุนเนื่องให้เศรษฐกิจของประเทศเดินหน้าไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อปี 2003 ระหว่างมีตำแหน่งระดับสูงที่เวินโจว หลี่ เฉียงเคยให้ความเห็นว่า
“หากไม่มีเศรษฐกิจภาคเอกชน การพัฒนาเมืองของเวินโจวจะถอยหลังไปอีกอย่างน้อยหนึ่งศตวรรษ”
และในปี 2014 เขาบอกว่าประเทศจีน “ควรมีอาลีบาบาและแจ็ค มามากมากกว่านี้”
ถึงวันนี้ เมื่อสี จิ้นผิงพยายามจะกำกับควบคุมไม่ให้เหล่าบรรดาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีดัง ๆ ของจีนให้ลดบทบาทที่โดดเด่นเกินไป หลี่ เฉียงในฐานะเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่จะมีจุดยืนเรื่องนี้อย่างไรจึงเป็นประเด็นที่น่าติดตามอย่างยิ่ง
เมื่อปี 2015 หลี่ เฉียงย้ำว่าการปฏิรูปเศรษฐกิจเป็นเรื่อง “ความเป็นความตาย” ต่อประเทศ
และยังย้ำว่า “รัฐบาลไม่สามารถเป็นรัฐบาลที่ไร้ขีดจำกัดได้ตลอดไป
นั่นแปลว่าบทบาทของรัฐจะต้องมีการจำกัดวงให้เหมาะสม ไม่ใช่จะทำได้ทุกเรื่องอย่างไม่มีข้อจำกัด
เขาเคยบอกว่า “ในการสร้างรัฐบาลสมัยใหม่ที่จำกัดแต่มีประสิทธิภาพ คุณต้องถ่ายโอนอำนาจการจัดการจำนวนมากไปยังองค์กรทางสังคม”
เคยมีรายงานข่าวว่าหลี่ เฉียงได้เคยเสนอแนะให้รัฐบาลผ่อนปรนการดำเนินการด้านกฎระเบียบต่อธุรกิจต่างๆ และทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างธุรกิจกับรัฐบาลในช่วงที่รัฐบาลกำลังจัดการบริหารกำหนดขอบเขตของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ ๆ ทั้งหลาย
แต่นั่นคือแนวทางเดิมบนเส้นทางเติบใหญ่ของเขา
วันนี้ ในฐานะนายกฯและเบอร์สองรองจากสี จิ้นผิง หลี่ เฉียงจะปรับท่าทีและนำพาจีนไปในทิศทางไหนจึงเป็นหัวข้อที่ทั้งโลกกำลังจับตามองอยู่ขณะนี้
The post เมื่อเบอร์หนึ่งสี จิ้นผิงได้คะแนน 100% นายกฯใหม่หลี่ เฉียงก็ต้องได้ 99.99% appeared first on .
Source link
from World eNews Online https://ift.tt/EH5uRc9
via World enews
Labels: news, World eNews Online, worldnews
0 Comments:
Post a Comment
Subscribe to Post Comments [Atom]
<< Home