โพลไหนไม่สู้ “โพลหนู” อนุทินเชื่อเป๊ะสุด!! ถ้าได้แค่ 3% ขอหยุดการเมือง **นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ทำเพื่อไทยวุ่น ทีมกฎหมาย-ทีมเศรษฐกิจ งัดกันดือด!!
ข่าวปนคน คนปนข่าว
**โพลไหนไม่สู้ “โพลหนู” อนุทินเชื่อเป๊ะสุด!! ถ้าได้แค่ 3% ขอหยุดการเมือง
กลายเป็นสีสันได้ดรามากันพอหอมปากหอมปากหอมคอ กรณีโพลสำนักต่างๆ เคลื่อนไหวออกผลสำรวจ ผลที่ได้ บ้างก็โดนใจ บ้างก็ขัดใจ บ้างก็ทำเอากองเชียร์ – FC งงเป็นไก่ตาแตก เมื่อผลโพลนั้นๆ มาแปลกๆ แหวกทุกความรู้สึก
ว่าไปแล้ว พรรคการเมืองทุกพรรคต่างมี “โพลภายใน” ไว้เช็กกันเอง สำหรับปรับเปลี่ยน “เชิงยุทธ์” ที่ต้องแข่งขัน ห้ำหั่นกันในสนาม
อย่างที่พรรคภูมิใจไทย ที่สำนักโพลมีชื่อหลายสำนัก ชี้ว่า ผู้นำพรรคใหญ่หัวแถว ทั้งคะแนนโหวตส.ส.เขต หรือปาร์ตี้ลิสต์ และรวมถึงตัวบุคคลที่เหมาะสมจะเป็น “นายกฯ” ที่ของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รั้งอยู่ระดับกลางตาราง บางสำนักถึงกับปรามาสว่า จะได้รับเลือกแค่ ร้อยละ 3
“หมอหนู” อนุทิน หนึ่งเดียวที่เป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรคภูมิใจไทย จึงถูกตั้งคำถาม เห็นด้วย หรือเห็นต่างจากโพล
ว่าแล้ว “อนุทิน” ก็ฟันธง! ว่า “ไม่มีโพลไหนสู้โพลของผมได้หรอก ผมเป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยก็ทำโพลของตัวเอง เชื่อมั้ยว่าตรงเป๊ะที่สุดเลย อย่างคราวที่แล้วผมคาดว่าจะได้ ส.ส. 52 คน แต่เข้ามาได้ 51 คน อย่างในสมัยที่ตัวเองยังเด็กๆ อยู่ คิดว่าจะได้ส.ส.เข้ามา 22 คน ก็เข้ามา 22 คน ผมเชื่อตัวเอง”
ถามว่าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน “หมอหนู” ตอบว่า ดูหลายๆ โพลก็มีความมั่นใจในความนิยมของพรรคภูมิใจไทย แต่ไม่ได้มองข้าม
หลายๆ โพลระบุว่า พรรคภูมิใจไทยจะได้ ส.ส.เข้ามาถึง 3 หลัก ตรงหรือไม่กับโพลอนุทิน ? “หมอหนู” ไม่ขอปฏิเสธ แต่ จะมองข้ามประชาชนไม่ได้ เพราะเป็นผู้ตัดสินใจ
เรื่องโพลส่วนตัวนี้ “หมอหนู” บอกว่าต้องเก็บไว้ในใจ ตัวเองมีหลักการคำนวณของตัวเอง แต่ไม่สามารถมาพูดตัวเลขอะไรออกมาได้ ต้องเกรงใจประชาชน แต่ขณะเดียวกันหากผลออกมาแบบบางโพล ที่บอกว่า พรรคภูมิใจไทยได้ แค่ร้อยละ 3 ก็เท่ากับ 12 คน ก็ต้องมาดูว่าได้เพียง 12 คนเองหรือ ? ฝ่ายตรงข้ามก็ดีใจกันใหญ่
ถ้าได้ 12 คนจริง ก็ถือเป็นเรื่องดี จะได้ไม่ต้องเป็นหัวหน้าพรรคแล้วต้องตัดสินใจ หยุดทุกอย่างในทางการเมือง!!
ส่วนประเด็นที่มีนักวิชาการกำหนดว่า พรรคภูมิใจไทย จะเป็นตัวแปร หรือเป็นผู้กำหนดโฉมหน้ารัฐบาล “อนุทิน” ให้ความเห็นว่า ขึ้นอยู่กับจำนวน ส.ส. ที่ประชาชนจะมอบให้ คงต้องรอให้ถึงคืนวันที่14 พ.ค.นี้ ค่อยมาตอบคำถามนี้
เมื่อถามว่า มีวิเคราะห์กันว่า พรรคภูมิใจไทย ยังไงก็เป็นรัฐบาลในรอบนี้ “อนุทิน” บอกว่า อย่าเพิ่งไปคาดหวังตรงนั้น ตอนนี้เป้าหมายแรกคือ สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน เพื่อให้ได้ส.ส. เข้าสภาฯ ตามที่เราตั้งเป้าไว้
เมื่อถึงเวลาเห็นผลแล้ว เหลือแค่ว่าเราจะวิ่งตามเขา หรือเขาต้องวิ่งตามเรา การเมืองแค่นี้เอง
นี่ก็เป็นอีกสีสันที่นอกจากสำนักโพลต่างๆ ที่เปิดเผยออกมา “เขย่า” ศึกเลือกตั้งในครั้งนี้ แต่ก็อย่าลืมว่ายังมี “โพลของหนู” อีกหนึ่งโพล ส่วนจะ “เป๊ะเว่อร์” แค่ไหนไว้คอยติดตามดูกัน
**นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ทำเพื่อไทยวุ่น ทีมกฎหมาย-ทีมเศรษฐกิจ งัดกันดือด!!
เลือกตั้งเที่ยวนี้ บรรดาพรรคการเมืองต่างออกนโยบาย “เกทับบลั๊ฟแหลก” เรื่องแจกเงิน ซึ่งมาในรูปแบบของความช่วยเหลือสารพัดที่จะคิดกันขึ้นมาได้ แล้วก็ขอพูด ขอแถลง ออกมาก่อน โดยไม่มีรายละเอียดของนโยบายว่าจะทำอย่างไรบ้าง ใช้เงินเท่าไร เอาเงินจากที่ไหนมาขับเคลื่อนนโยบายที่ว่า
ที่ฮือฮา และถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดก็คงจะเป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย ที่ “เศรษฐา ทวีสิน” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทให้กับคนอายุ 16 ปีขึ้นไป ซึ่งมีประชาชนอยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับแจกกว่า 50 ล้านคน ต้องใช้งบประมาณกว่า 5 แสนล้านบาท ถ้าเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล คาดว่าจะแจกได้ในเดือนมกราคม 2567 … เรียกว่ามอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กันเลยทีเดียว
มีคำถามตามมาเยอะแยะ ทำไม่ต้องเป็นเงินดิจิทัล…ทำไมแจกแบบหว่านแห ไม่สนคนจน คนรวยเลยหรือ…กระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงหรือ … เข้าข่ายสัญญาว่าจะให้หรือเปล่า… ที่สำคัญเอาเงินที่ไหนมาแจก
เรื่องนี้ทางกกต.ได้ประกาศเตือนมาแล้วว่า ตามมาตรา 57 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2561 กำหนดว่านโยบายของพรรคการเมือง ต้องมีองค์ประกอบสำคัญคือ 1. ระบุวงเงินที่ต้องใช้ และที่มาของเงินที่จะใช้ดำเนินการ 2. ความคุ้มค่าและประโยชน์ในการดำเนินนโยบาย 3. ผลกระทบและความเสี่ยงในการดำเนินนโยบาย
ปรากฏว่ามีกว่า 60 พรรคการเมือง ที่ยังไม่ได้ชี้แจงถึงองค์ประกอบของนโยบายดังว่า ต่อ กกต. ทางกกต.จึงส่งหนังสือเตือนออกไป ตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา และให้ทำหนังสือชี้แจงกลับมาภายในวันที่ 18 เม.ย.
สำหรับพรรคเพื่อไทย ไม่ได้มีแต่นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทเท่านั้น ที่ไม่แจ้งรายละเอียด แต่มีถึง 62นโยบาย ที่ต้องแจ้งต่อกกต. ภายในวันที่ 18 เม.ย.นี้
มีรายงานว่า ที่พรรคเพื่อไทยได้มีการหารือระหว่างทีมกฎหมายที่มี “ชูศักดิ์ ศิรินิล” เป็นหัวหน้าทีม กับทีมเศรษฐกิจ ที่ “หมอมิ้ง” นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เป็นหัวหน้าทีม รวมทั้ง “เศรษฐา ทวีสิน” ที่เป็นแกนหลักด้วย เพื่อหาข้อสรุปในการทำหนังสือชี้แจงต่อ กกต.
ปรากฏว่าทีมกฎหมายกับทีมเศรษฐกิจ งัดกันดุเดือด เพราะมีความเห็นไปคนละทาง!!
ทีมกฎหมาย อยากให้ชี้แจงที่มาของงบประมาณให้ชัดเจน เพื่อให้กกต. สิ้นข้อสงสัย ไม่เช่นนั้นอาจสุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมาย และจะส่งผลเสียถึงขั้นยุบพรรคได้ในภายหลัง
อย่างเช่น ที่มาของรายได้ เรื่องเก็บภาษี จะมาจากภาษีชนิดใดบ้าง อาทิ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หากจะเก็บเพิ่มจากเดิม ซึ่งเดิมอยู่ที่ร้อยละ 7 จะเพิ่มเป็นร้อยละเท่าไร เพื่อให้มีรายได้มาดำเนินการ แต่ทีมเศรษฐกิจบอกระบุไม่ได้ ขืนบอกออกไปจะขึ้นภาษีเท่านั้น เท่านี้เปอร์เซ็นต์ ก็จะมีผลต่อคะแนนเสียงทันที
มีการพูดถึงงบฯปี 67 ซึ่งหลังจากที่หักงบประจำ งบผูกพัน และงบใช้จ่ายหนี้เงินกู้แล้ว จะเหลือให้ดำเนินโครงการใดๆได้ประมาณ 2 แสนล้านบาท หากไปหั่นจากงบของกระทรวงต่างๆ อย่างมากสุดก็ได้อีกประมาณ 1 แสนล้านบาท ซึ่งหลายกระทรวงอาจไม่ยินยอมก็ได้ ไม่เหมือนในช่วงโควิดที่กระทรวงต่างๆ พร้อมใจให้หั่นงบฯของตัวเองลง เพื่อไปแก้ปัญหาโควิด
เอาเป็นว่า ถ้ามีเงินจากงบฯปี 67 อยู่ 2 แสนล้าน รีดภาษีเพิ่มได้อีก 5 หมื่นล้าน หั่นงบกระทรวงต่างๆ อีก 1 แสนล้าน ก็ได้เพียง 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งยังไม่เพียงพอ ขาดอยู่อีกประมาณ 1.5 แสนล้าน จึงมีการเสนอให้ชี้แจงต่อ กกต.ว่า อาจจะมีการกู้เงินบ้าง บางส่วน เพื่อนำมาดำเนินโครงการ
คราวนี้ทีมทีมกฎหมาย ทักท้วงว่า ถ้าทำเช่นนั้น อาจจะส่งผลกระทบทางกฎหมายอย่างใดอย่างหนึ่งได้!!
…หากระบุไปว่าอาจจะต้องกู้เงินบางส่วนในคำชี้แจง และหาก กกต.เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวออกไป ก็จะส่งผลลบต่อคะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทยทันที เพราะที่ผ่านมาแกนนำพรรคเพื่อไทย โจมตีรัฐบาลลุงตู่มาตลอดว่า “กู้มาแจก” หากตัวเองต้องกู้มาทำโครงการนี้ ก็เข้าอีหรอบ “ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง” โดนฝ่ายตรงข้ามจัดทัวร์มาลงแน่
นอกจากนี้ ยังมีข้อถกเถียงว่า ในคำชี้แจงต่อ กกต. จะระบุให้ชัดเลยหรือไม่ว่า ถ้าพรรคเพื่อไทย แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท จะต้องยกเลิก “โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ของรัฐบาลลุงตู่ เลยหรือไม่ เพราะหากทำควบคู่กัน จะเป็นภาระงบประมาณที่สูงขึ้นไปอีก แต่ถ้าระบุว่าจะยกเลิกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ก็จะเสียฐานคะแนนตรงนี้ไปอีก เนื่องจากมีผู้ผ่านเกณฑ์รอบใหม่กว่า14 ล้านคน และอยู่ระหว่างอุทธรณ์สิทธิอีกหลายล้านคน … ทางทีมกฎหมาย และทีมเศรษฐกิจ จึงได้แต่หาทางประวิงเวลาการชี้แจงเรื่องนี้กับกกต.
แต่ กกต.ก็ขีดเส้นตายไว้แล้วว่า พรรคเพื่อไทยต้องตอบกลับภายใน 7 วัน หลังจากได้รับหนังสือ ซึ่ง กกต.ส่งไปเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ดังนั้น พรรคเพื่อไทยก็ต้องตอบกลับ ภายในวันที่ 18 เม.ย. หรือ อย่างช้าก็ 19 เม.ย.นี้
แต่ถ้าไม่ตอบล่ะ กกต.จะทำอะไรได้แค่ไหน!!
ท้ายหนังสือที่ กกต.ส่งถึงพรรคการเมืองระบุชัดว่า…การหาเสียงของพรรคต้องไม่ขัด หรือแย้งกับแนวที่กำหนดเป็นนโยบายของพรรคการเมืองตาม มาตรา 74 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 หากพรรคไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของกกต. ตามมาตรา 57 วรรคสอง ต้องระวางโทษ ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท และปรับอีกวันละ 1หมื่นบาท ตลอดระยะเวลาที่ยังไม่ปฏิบัติให้ถูกต้อง … และถ้าผู้ใดฝ่าฝืน มาตรา 74 หรือหาเสียงไม่ว่าด้วยประการใดให้ประชาชนหลงเชื่อ หรือเข้าใจผิดว่าเป็นนโยบายของพรรคการเมืองตาม มาตรา 74 ต้องระวังโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับตั้งแต่ 2 หมื่น-2แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิ์ผู้นั้น มีกำหนด 20 ปี…
ผู้สมัครส.ส.จึงต้องคิดให้หนัก ว่าจะเอาโครงการนี้ไปหาเสียงหรือไม่!!
ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าพรรคเพื่อไทยจะเลือกวิธีประวิงเวลา หรือตอบไปว่าจะเอาเงินที่ไหนมาแจก
Source link
from World eNews Online https://ift.tt/neCMX1B
via World enews
Labels: news, World eNews Online, worldnews
0 Comments:
Post a Comment
Subscribe to Post Comments [Atom]
<< Home