ดวลเดือดศึก “แฉไป ไถไป” ทนายตั้ม น็อก ชูวิทย์ งานนี้แว่วเสียงไอคุกๆ “เงินไถ”เข้าข่ายร่วมกันฟอก!?? **เปิดตัวทีมเศรษฐกิจ รทสช. “คณะพระเอก” ของลุงตู่ ส่วนประชาชนถือเป็นหุ้นส่วนบริหาร
ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ดวลเดือดศึก “แฉไป ไถไป” ทนายตั้ม น็อก ชูวิทย์ งานนี้แว่วเสียงไอคุกๆ “เงินไถ”เข้าข่ายร่วมกันฟอก!??
สังเวียนโซเชียลฯ ร้อนฉ่า เมื่อศึก “แฉไป ไถไป” ที่ “ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด เปิดประเด็นไว้วันก่อน และรอเฉลยว่าใครคือคน “โคตรเลว” คนนั้น ซึ่งไม่ทันข้ามวัน ปริศนาก็ได้คำตอบ หลังจาก “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” โพสต์ลงเฟซบุ๊กตัวเอง
“ชูวิทย์” แค่เห็นถุงเงินก็จำได้ บอกว่าเป็นเงินที่นายตำรวจผู้ใหญ่นอกราชการคนหนึ่งที่รู้จักมานาน นำมาให้ที่โรงแรมของเขา โดยบอกว่าเป็นเงินของ “ซัว” เพื่อขอให้หยุดโจมตี แต่ตัวเอง“ไม่รับเคลียร์”
แม้จะปฏิเสธไม่ช่วย แต่เงินที่ถูกทิ้งไว้จะเก็บไว้ใช้ส่วนตัวก็คงไม่มีใครรู้ แต่เลือกที่จะนำเงินในถุงแรก จำนวน 3 ล้าน ไปบริจาคให้โรงพยาลธรรมศาสตร์ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ วาเลนไทน์ เดือนที่แล้ว ส่วนอีกถุงจำนวน 3 ล้านเท่ากัน ไปบริจาคให้โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่15 มีนาคมที่ผ่านมา
“ชูวิทย์”ยังว่า เงินแค่นี้ไม่มีความหมาย หากมี 50 ล้านมาให้ อย่างที่ “ทนายตั้ม” ว่าจริงก็จะนำไปบริจาคอีก จะเรียกเขาว่าอะไรก็ได้ นักบุญคนบาป โรบินฮู้ด นักแฉใจบุญ
อย่าเรียกตัวเองว่าคนดี หรือมาศรัทธาอะไร ไม่ใช่ “ฮีโร่” อยู่แล้ว
ส่วนใครจะตราหน้า ก็ขอรับอย่างหน้าชื่นตาบาน ว่า “ผมนั้นเป็นโจร” …เป็น “โจรที่เอาเงินบาปไปทำบุญ”
แถมรู้ด้วยว่า คนที่จะถ่ายรูปถุงเงินนี้ได้ ที่ “ทนายตั้ม” เอามาโพสต์ก็น่าจะต้องเป็นเจ้าของเงิน ลงท้ายด้วยคำท้าทายว่า คนที่ให้รูป “ทนายตั้ม”บอกว่ายังไง? เงิน 50 ล้านที่ไหน ? จะรอฟัง
แน่นอนว่า ประเด็นนี้อยู่ในความสนใจของสังคม ยกให้เป็น “คู่มวย” ที่แฟนๆรอชม ซึ่ง “ทนายตั้ม” ได้นัดแนะไว้ก่อนหน้า จะมานั่งแถลงเปิดหลักฐาน “แฉ” จอมแฉ
แล้วเมื่อเวลา ที่ “ษิทราลอว์เฟิร์ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด ก็มาตามนัด จัดให้ “ชูวิทย์” ที่ท้าทาย ด้วยการเริ่มต้นว่า “ชูวิทย์” เป็นไอดอล ที่ติดตามมาตลอด มีผู้ใกล้ชิดระบุว่า ชูวิทย์ เป็นคนที่ใช้เงินซื้อไม่ได้ แต่พอได้ข้อมูลมาจากหลายสาย ซึ่งมี “หลานชูวิทย์” ด้วยคนหนึ่ง ก็ต้องแฉ แม้รู้ตัวจะโดนทัวร์ลงก็ตาม
ตอนนี้คงมีใครหลายคิดว่า “ทนายตั้ม” บ้าที่จะออกมาแฉ “ชูวิทย์” ที่กำลังส่งแสง แต่เจ้าตัวก็ออกยอมรับเองเพราะจำนนต่อหลักฐานว่าได้รับเงิน 6 ล้านบาท มาจาก “สารวัตรซัว” ที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์จริง ซึ่งรูปเงินดังกล่าว เป็นรูปเมื่อปีก่อน ที่รับมาจากสารวัตรซัว แบ่งจ่ายมาแล้ว 2-3 ครั้ง และยังมีเงินจากเครือข่ายอีกครั้งละ10 ล้านบาท!!
“ษิทรา” ยังปล่อยทีเด็ดว่า รู้วงในมา ชูวิทย์ “มีกล่องดวงใจ” ดวงหนึ่ง ซึ่งทำธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า กับกัญชา เป็นเสมือนมือขวา ซึ่งกล่องดวงใจดวงนี้ เป็นผู้ที่พา “สารวัตรซัว” ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และเจ้าของเว็บพนันไปพบ “ชูวิทย์” ที่โรงแรมเดวิด เพื่อพูดคุยและให้เงินกัน
“ทนายตั้ม” ยังฝากคำถามถึงชูวิทย์ ที่เคยโพสต์เฟซบุ๊กถึง “แทนไท” เมื่อวันที่ 21 มกราคม จากนั้นก็ไม่เคยโพสต์ถึง “แทนไท”อีกเลย นั่นเป็นเพราะอะไร? หรือเพราะว่ากล่องดวงใจนี้ พานายแทนไท ไปพบเมื่อวันตรุษจีน หรือไม่?
ทนายคนดังยังระบุว่า จะร้องเรียนไปยังตำรวจสอบสวนกลาง ให้ตรวจสอบเงินสกุลดิจิทัล มูลค่ากว่า 50 ล้านบาท เข้าบัญชีกล่องดวงใจดวงนี้ ซึ่งเงินส่วนนี้เอง ที่ถูกนำไปบริจาคให้โรงพยาบาล และอื่นๆ
“ษิทรา” ยืนยันด้วยว่า ตัวเองไม่ได้รับเงินจากเว็บไซต์พนันออนไลน์ เพราะไม่คบค้ากับคนกลุ่มนี้ หลังจากนี้ก็เตรียมใจแล้วว่าจะโดนอะไรบ้าง แต่ที่ออกมาแฉ เป็นเพราะผิดหวังกับ “ชูวิทย์” และไม่ได้โกรธแค้นชูวิทย์เป็นการส่วนตัว แต่ไม่อยากให้มีการเลียนแบบ “ออกมาแฉแล้วเรียกผลประโยชน์” และเรื่องนี้ไม่ใช่เกมการเมือง เพราะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และไม่ได้รับงานจากพรรคการเมืองคู่แค้นของชูวิทย์ แต่ในอนาคต ก็ยินดีที่จะร่วมมือกับ ชูวิทย์ เพื่อแฉโครงการทุจริตรถไฟฟ้า ไม่ใช่เพียงสีใดสีหนึ่ง หากชูวิทย์ ไม่รังเกียจ
งานนี้ต้องบอกว่า “ทนายตั้ม”ปล่อยหมัดเป็นชุด ฮุกเข้าปลายคาง กระแทกลิ้นปี่ บดขยี้ “กล่องดวงใจ” ของชูวิทย์ อย่างเต็มรัก
ต่อมา “ชูวิทย์” ได้แถลงตอบโต้ “ทนายตั้ม” โดยก่อนแถลงอุ้มรูปหล่อ “พระเจ้าตากสิน” พร้อมกับคำสาบาน เกรงว่า คนจะไม่เชื่อ หากพูดโกหก ก็ขอให้ตัวเองวิบัติ
“ชูวิทย์ พยายามจะบอกว่า รู้ทัน “ทนายตั้ม” รับข้อมูลจาก “นายเปา” หรือ จิราวัฒน์ โพธิสุวรรณ ที่เลี้ยงดูมาดั่งลูกตั้งแต่ยังเล็ก และให้เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ “ลาลิซ่าอาบอบนวด”
ส่วนเรื่องที่ “ทนายตั้ม”กล่าวหานั้น ประเด็นแรก ยอมรับว่าเคยพบกับ “แทนไท” ซึ่งมีอดีตนายตำรวจยศ พล.ต.อ.ที่รู้จักกัน พามาหาที่โรงแรม เพื่อปรึกษาว่าจะฟ้องร้อง “สนธิ ลิ้มทองกุล” หรือไม่ หลังเข้าไปพบสนธิ แล้วถูกต่อว่า เพราะไม่เชื่อว่า “แทนไท” จะทำธุรกิจขาวสะอาด ตัวเองก็แนะนำว่า อย่าไปฟ้อง ก่อนที่แทนไทจะกลับไปโดยไม่รู้เหตุผลว่า ทำไมต้องมาปรึกษาตัวเอง
ประเด็นต่อมาคือเรื่องที่มีเงินดิจิทัล 50 ล้านบาท โอนเข้ามายังบัญชีของกล่องดวงใจ หรือ “เติม” ลูกชายคนเดียว ยืนยันว่า ลูกชายตัวเองมีอันจะกิน เพราะได้รับเงินเดือนจากตน ไม่เคยเล่นการพนัน และไม่มีเงินตามที่ “ทนายตั้ม” กล่าวอ้างโอนเข้ามา เว้นแต่เพื่อนของลูกจะทำเว็บพนันหรือไม่ ตัวเองไม่ทราบ
“ชูวิทย์”พูดถึงประเด็นเรื่องเงินทั้ง 2 ถุงที่ “ทนายษิทรา” โพสต์ไว้ และบอกว่ามีเงินมากกว่า 6 ล้านบาท ขอชี้แจงว่าเงินดังกล่าว มีถุงละ 3 ล้านบาท รวมเป็น 6 ล้านบาท ไม่มีเงินจากแหล่งอื่นมาเพิ่มเติม ซึ่งเงินดังกล่าวมีตำรวจเกษียณราชการ ชื่อ อ. และอีกนายชื่อ ป. ที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยยังทำอาบอบนวด นำมาให้ใน วันที่ 3 กุมภาพันธ์ ปีนี้ และได้ปฏิเสธไปแล้ว แต่ภาพดังกล่าว ไม่ได้ถ่ายที่โรงแรมแห่งนี้ และไม่ทราบว่าผู้ใดนำไปเปิดเผย ซึ่งชื่อว่าเป็นการแบล็กเมล์ และเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองที่ตัวเองกำลังทำลายพรรคการเมืองหนึ่ง
“ชูวิทย์” ยอมรับด้วยว่า แทนที่จะตัดสินใจนำเงินไปบริจาค ซึ่งตามจริงควรจะนำไปให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) แต่คิดว่าไม่มีประโยชน์ จึงนำไปบริจาค
ก่อนจะปิดท้าย “ชูวิทย์” ถามถึง “ทนายตั้ม” ว่ารับงานมาจากใคร? แต่ ยอมรับว่า มีบางเรื่องที่ “ทนายตั้ม” กล่าวหามานั้น มีทั้งถูก และผิด และได้รับเงินจากกลุ่มของ “สารวัตรซัว” จริง เพราะเลี่ยงไม่ได้
พูดไปพูดมา จอมแฉงานนี้วนเป็นวัวพันหลัก แก้ตัวแก้ต่างยังไงก็กลับมาที่คำถามว่า “ชูวิทย์รับเงินหรือไม่” คำตอบก็คือ “รับจริง” แต่แก้ต่างว่ารับแล้วเอาไปบริจาค
นี่ก็ถือว่า เป็นการโกหกคำโต เพราะก่อนหน้าจอมแฉก็เคยท้าสาบานว่า รวยอยู่แล้ว ไม่รับเงินใคร เทียบกับ “เสี่ยโป้” ที่เข้าไปนอนในคุกตอนนี้ เอาเงินพนันมาแจกคน ทำบุญ ต่างกันตรงไหน ?
“ชูวิทย์” เอาเงินบาปมาบริจาค ถ่ายภาพให้สังคมเชิดชู เพื่อเอาหน้า ตอนนี้ก็วุ่นกันไปทั้งบาง องค์กรที่รับบริจาคเงินบาปมาพลอยซวยไปด้วย
ส่วนเงินที่ว่ารับมาแค่ “6ล้าน” ก่อนจะตั้งคำถาม อนุญาตให้หัวเราะกันดังๆไม่ต้องกลั้น มีใครเชื่อหรือไม่ว่า รับมาแค่ 6 ล้าน? และเชื่อหรือไม่ว่า “แฉไป ไถไป” จะมีแค่เรื่องรับเงิน “ซัว” เรื่องเดียว ยังมีเรื่องรับงานอื่นอีกอ๊ะป่าว?
สรุปว่า งานนี้โกหกทุกเรื่องที่พูดมาทั้งหมด “ชูวิทย์”จะพูดโกหกอย่างไรอะไรไปก็ตามแต่ก็ถูกจับได้ตลอด ใครที่ยังเชื่อหรือ เอฟซี จะเชื่อต่อไป ก็จนปัญญาจริงๆ ก็ขอให้อยู่น้ำปลัก น้ำโคลนกันต่อไป ถ้าจะไม่สนใจเนื้อหา สนใจแต่ลีลาก็ขอเจริญพร
ที่แน่ๆ ถ้า “ทนายตั้ม ”ร้องในประเด็นให้ตำรวจสอบเส้นทางเงินของกล่องดวงใจชูวิทย์ ที่ว่ามี 50 ล้าน เป็นเงินดิจิทัล จากคนประมูลทะเบียนรถ คงจะสาวไส้ออกมาได้อีกหลายขด
รวมไปถึง ประเด็นความผิดสำเร็จแล้ว รับเงินถุง จะ 6 ล้าน หรือ 10 ล้าน อ้างว่าเอาไปบริจาคนั้น เมื่อจวนตัวก็รับสารภาพจำนน ถ้ามีคนไปสะกิด ปปง. ว่า งานนี้เข้าข่าย สมคบคิดฟอกเงินร่วมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป พระที่อุ้มมาก็ไม่รู้จะช่วยได้มั้ย ? แว่วเสียงไอคุกๆ ลอยตามลมมายังไงไม่รู้!!
**เปิดตัวทีมเศรษฐกิจ รทสช. “คณะพระเอก” ของลุงตู่ ส่วนประชาชนถือเป็นหุ้นส่วนบริหาร
ช่วงนี้ พรรคการเมืองต่างเร่งเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร นโยบาย และทีมเศรษฐกิจ ที่จะใช้หาเสียง หาคะแนน เพราะที่ผ่านมาประเทศประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างสาหัส ดังนั้นทีมเศรษฐกิจจึงเป็นอีกจุดขายหนึ่งที่จะมีผลต่อการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
เมื่อวานนี้ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)ถือโอกาส ลาราชการ แล้วสวมเสื้อแจ๊กเก็ตของพรรค ไปเป็นประธาน ประชุมคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์ของพรรคฯ และได้ขึ้นสวมเสื้อ ให้ทีมเศรษฐกิจของพรรคด้วย
สำหรับทีมเศรษฐกิจของพรรค พปชร. ประกอบด้วย 1. “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน 2. “จุติ ไกรฤกษ์” รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 3. “ม.ล.ชโยทิต กฤดากร” ผู้แทนการค้าไทย เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ 4. “ไตรรงค์ สุวรรณคีรี” ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และแกนนำพรรค รทสช. 5. “จักร บุญหลง” กรรมการอิสระ และกรรมการตรวจสอบ บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) อดีตเอกอัครราชทูตหลายประเทศ 6. “ชวิน อรรถกระวีสุนทร” กรรมการบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ดีเวล็อปเม้นต์คอร์ปอเรชั่น จำกัด 7. “วิท วรรณไกรโรจน์” อาจารย์ประจำภาควิชาพาณิชยศาสตร์ จุฬาฯ และ 8. “วินท์ สุธีรชัย” สมาชิกพรรครทสช. อดีต ส.ส.พรรคก้าวไกล
“ทีมเศรษฐกิจ”ยังมีคณะที่ปรึกษา คอยทำหน้าที่ดูแล ให้คำแนะนำ ด้านนโยบายเศรษฐกิจสำคัญ ที่เกี่ยวข้องกับปากท้อง ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในทุกๆด้าน ซึ่งก็มี “ไตรรงค์ สุวรรณคีรี” เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจมหภาค นโยบายการคลัง , “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ” ดูแลการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน “จุติ ไกรฤกษ์” ดูแลกลุ่มคนเปราะบาง และผู้สูงวัย “อนุชา นาคาศัย” ดูแลนโยบายภาคเกษตร “สุชาติ ชมกลิ่น” ดูแลนโยบายแรงงาน และที่ฮือฮาคือ “พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา” ผอ.โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ มาร่วมเป็นที่ปรึกษา ดูแลด้านคุณภาพชีวิต และสุขภาพของคนไทย
“ลุงตู่” บอกว่าทีมเศรษฐกิจชุดนี้ มีทั้งคนรุ่นเก่า รุนกลางและ รุ่นใหม่ ทุกคนมีประสบการณ์ยอดเยี่ยมในการทำงานที่ผ่านมา ที่สำคัญคือ ทุกคนได้เคยร่วมงานกับตนเองที่เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจในรัฐบาลนี้มาแล้ว คือ เคยทำมาแล้ว กำลังทำอยู่ และจะทำต่อ!!
…ในการบริหารประเทศชาตินั้น ทำโดยลำพังคนเดียวไม่ได้ … ไม่มีพระเอก จะมีแต่คณะพระเอก คือทุกคนเป็นพระเอกหมด ผมมีหน้าที่บริหารพระเอกเหล่านี้ เพราะมีประสบการณ์มากพอสมควร ในช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้ไม่ง่ายนัก แต่ก็ไม่ยากเกินไปที่จะร่วมกันทำ… ส่วนประชาชนนั้นถือเป็นหุ้นส่วนในการบริหารเศรษฐกิจ
สำหรับ “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” หนึ่งในพระเอกของทีมเศรษฐกิจ บอกว่า การดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจต้องไม่ทำแบบเหวี่ยงแห แต่เป็นการทำแบบมุ่งเป้า และต้องเป็นความร่วมมือกับประชาชน และทุกภาคส่วน ไม่ใช่แค่รัฐบาลอย่างเดียว เหมือนที่เราฟันฝ่าอุปสรรคโควิด -19 มาได้ คือทุกอย่างต้องร่วมมือกัน
ที่ผ่านมาเราใช้เงินอย่างเหมาะสม คนล่างสุดรับเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนที่ระดับสูงกว่านั้น ก็เป็นโครงการคนละครึ่ง ที่ต้องไปช่วยคนตัวเล็กอีกทีหนึ่ง ส่วนชอปดีมีคืน ก็เป็นคนมีฐานะ ก็ไปช่วยกันใช้เงิน การแบ่งเป็น 3 ชั้นอย่างนี้ ไม่เคยมีมาก่อน …และแน่นอนว่านโยบายเหล่านี้ เราต้องทำต่อแน่ เรามี “เป๋าตัง”แล้ว รอบหน้าเราเพิ่ม “ถุงเงิน” ที่เน้น เอสเอ็มอี เน้นช่วยคนตัวเล็ก เชื่อว่าจะพลิกฟื้นเศรษฐกิจได้อย่างมั่นคง ยั่งยืน
Source link
from World eNews Online https://ift.tt/iaw6oIp
via World enews
Labels: news, World eNews Online, worldnews
0 Comments:
Post a Comment
Subscribe to Post Comments [Atom]
<< Home